ปราสาทเขาพระวิหาร

ที่มา https://thipbadee.wordpress.com/เหตุการณ์ที่สำคัญ
โบราณสถานที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ยังคงความสำคัญแก่โลก
เนื่องจากว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นปราสาทที่จัดว่ามีประวัติศาสตร์มายาวนาน อีกทั้งเป็นปราสาทที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม
ด้วยเหตุนี้จึงถูกเสนอชื่อขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรม
ที่กล่าวว่า สถานที่แห่งนี้เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆอันชาญฉลาดของมนุษย์
และเนื่องจากว่าปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างของสองประเทศ นั่นคือ ฝั่งทางขึ้นบันไดจะอยู่ในพรมแดนของไทย
แต่ตัวปราสาทอยู่ในพรมแดนของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา แต่ในอดีตปราสาทแห่งนี้
ไทยและกัมพูชาใช้เป็นสมบัติของทั้งสองประเทศอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขไม่ได้มีข้อขัดแย้ง
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปทั้งสองประเทศเกิดกระแสความเป็นชาตินิยมต่างมีความคิดว่า
ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของตน ทำให้เกิดกระแสข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาที่ว่าด้วย
ปราสาทแห่งนี้เป็นของไทยหรือกัมพูชา จึงมีการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลโลก
เพราะไทยและกัมพูชาต่างไม่มีใครปฏิเสธว่าเขาวิหารไม่ใช่ของตน
ทำให้เห็นว่าเขาพระวิหารเมื่อขึ้นเป็นแหล่งมรดกโลกแล้วสถานที่แห่งนี้ย่อมสร้างประโยชน์และเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งจะสร้างมูลค่าให้กับประเทศนั้นๆอย่างมหาศาล
รวมถึงความรักความหวงแหนในทรัพย์สมบัติของชาติเพราะเป็นสถานที่ที่ทำให้คนทั้งชาติระลึกเสมอว่า
เป็นดินแดนของบรรพบุรุษที่ได้ต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อปกป้องมายาวนานและตกทอดสืบต่อกันมา
จึงเกิดการทะเลาะและหาข้อยุติไม่ได้ส่งผลให้ต้องไปยุติเรื่องราวทั้งหมดที่ศาลโลก
จากปรากฏการณ์ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้จัดทำเล็งเห็นถึงวัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหารว่า
นอกเหนือจากการที่ปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้จะเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกที่หลายๆคนให้ความสนใจ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก
เหตุปัจจัยทั้งหมดทำให้ผู้จัดทำต้องการที่จะศึกษาประวัติความเป็นมาของปราสาทเขาพระวิหาร
ลักษณะสถาปัตยกรรม
รวมถึงต้องการศึกษาเบื้องลึกเบื้องหลังของปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีมาตั้งแต่อดีต
โดยทำการศึกษาผ่านการสืบค้นจากหลายแหล่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นจาก บทความ, หนังสือ และจากคลิปวิดีโอออนไลน์ ซึ่งงานศึกษาที่ทางผู้จัดทำค้นพบนั้น
มีทั้งหมด 16 แหล่งข้อมูล ซึ่งเป็นข้อมูลที่หาได้จากหนังสือของห้องสมุดจำนวน 10
เล่ม,จากฐานข้อมูลงานวิจัย ( THAILIS )
จำนวน 2 บทความ และจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น YOUTUBE 4 วิดีโอ
โดยผู้จัดทำได้แบ่งประเด็นของการศึกษาของการศึกษาออกเป็นดังต่อไปนี้ 1) บทนำ 2)
งานที่ศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ 3) สรุปและข้อเสนอแนะ 4) เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ที่มา http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/2_20.html
จากการทบทวนวรรณกรรม ทางผู้จัดทำได้แยกออกเป็นประเด็นสำคัญทั้งหมด 5 ด้าน นั่นก็คือ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านสถาปัตยกรรม ด้านการท่องเที่ยว ด้านคดีข้อพิพาท และด้านสารคดีที่ได้จากวิดีทัศน์ต่างๆ โดยจะขอยกตัวอย่างงานทบทวนเพียงด้านละ 1 เรื่องเท่านั้น
งานทบทวนวรรณกรรมด้านประวัติศาสตร์

หนังสือจากสำนักหอมหาวิทยาลัยขอนแก่น
(2550)
เขียนโดย
ดร.ธิดา สาระยา : จากเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนอธิบายย้อนไปเมื่ออดีตว่า
กษัตริย์ขอมหรือพระเจ้าชัยวรมันที่2 ได้แผ่อำนาจมายังบริเวณปราสาทแห่งนี้
และกษัตริย์ขอมในสมัยต่อมาก็คือพระเจ้าสุริยวรมันที่1 และสุริยวรมันที่2
ได้ทำการสร้างเทวาลัยบนยอดเขา โดยสร้างเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่มีการวางผังอย่างดี
อีกทั้งปราสาทเทวาลัยแห่งนี้ยังมีรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะและมีความซับซ้อน
โดยผู้เขียนมีการตั้งคำถามกับสิ่งที่กษัตริย์ขอมในอดีตทำไว้ ว่าทำไมถึงได้ให้ความสำคัญกับปราสาทพระวิหารมากขนาดนั้น
อีกทั้งผู้เขียนยังแสดงทัศนะเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหารอีกว่า
ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นผลของการสร้างความสมานฉันท์ของคนต่างกลุ่ม
ตั้งแต่ยังไม่มีพรมแดนของการแบ่งดินแดนเป็นประเทศดังนั้น ปราสาทหินแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่รวบรวมความเชื่อในคติเทวราชาแบบขอมให้เข้ากับความเชื่อของคนพื้นถิ่น
และผสมผสานเข้ากับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ผู้เขียนกล่าวอีกว่า
ในอดีตปราสาทเขาพระวิหารคือที่ที่ทุกคนหลายๆชาติไปแสวงบุญ แต่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบัน
คุณค่าของปราสาทเขาพระวิหารมักถูกประเมินด้วยค่าในแง่ด้านวัตถุ
ค่าในแง่ด้านความเก่าแก่ของ ศิลปะและสถาปัตยกรรม
และการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น อีกทั้งยังมีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาใน เรื่องปราสาทพระวิหาร
เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นในการถือสิทธิเพื่อครอบครองโบราณสถานแห่งนี้ แต่ไม่ ว่ากรณีข้อพิพาทจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ประเด็นในเรื่องบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของปราสาทหิน
แห่งนี้ถูกละเลย
ทั้งๆที่คนในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนเขมรต่างก็มองเขาพระวิหารว่าเป็น
สถานที่ศักดิ์สิทธิ
ทำให้เราสามารถมองย้อนกลับไปในอดีตได้ว่า ในอดีตเมื่อครั้งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ยังคงเป็นสถานที่ประกอบในการประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ขอม
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นถิ่น และเป็นสถานที่ที่ผู้คนสองฝากฝั่งสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้
เนื่องด้วยพลังแห่งความศรัทธาที่พวกเขา สองฝากฝั่งมีร่วมกัน
งานทบทวนวรรณกรรมด้านสถาปัตยกรรม

หนังสือจากสำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น
(2551) เขียนโดย โรม บุนนาค : จากเรื่อง เขาพระวิหารไทยเสียดินแดนครั้งสุดท้าย ผู้เขียนกล่าวว่า เขาพระวิหารเป็นปราสาทหินแบบขอม
ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรักที่กั้นเขตแดนไทยกับกัมพูชา
อยู่บริเวณพื้นที่ของบ้านภูมิชร็อล ต. เสาธงชัย
อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษ ส่วนพื้นที่ราบที่ต่ำจากหน้าผาลงไป
เรียกกันว่า เขมรต่ำ เป็นพื้นที่ของอำเภอจอมกระสาน จ.กำปงธม ประเทศกัมพูชา
ซึ่งในขณะนี้เปลี่ยนชื่อเป็น จ.เปรี๊ยะวิเฮียร์
ที่เป็นชื่อจริงๆของปราสาทเขาพระวิหารในภาษาเขมร โดยอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
ตัวปราสาทนั้นสร้างอยู่บนลานหินต่างระดับ 4 ระดับ
เรียงไปตามทางเดินจากเนินเขาด้านล่างไปจนถึงปลายสุดชะง่อนเขา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดยื่นเข้าไปในเขตกัมพูชา จุดสูงสุดนี้มีความสูงอยู่จากระดับน้ำทะเล 657
เมตรและสูงจากพื้นที่ราบเขมรต่ำ 447 เมตร
ดังนั้น ผู้เขียนจึงชี้ให้เห็นว่า
ด้วยลักษณะการสร้างของปราสาททำให้คนเขมรด้านล่างมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารเป็นเสมือนวิหารสวรรค์ ที่ลอยอยู่ในฟากฟ้า
แต่ปราสาทพระวิหารไม่ได้เป็นปราสาทที่ใหญ่โตแบบนครวัด
เล็กกว่าปราสาทหินพิมายด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือยุทธศาสตร์
แต่กลับมีความงามทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
จากการศึกษาประเด็นปราสาทพระวิหาร
ในด้านสถาปัตยกรรม จะแสดงให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารเป็นเพียงปราสาทเล็กๆที่ไม่ได้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือทางยุทธศาสตร์การเมืองเลย
แต่เป็นปราสาทที่คนเขมรยกย่องให้เป็นปราสาทที่สวยงามเหมือนปราสาทที่อยู่บนสรวงสรรค์ ถือได้ว่าเป็นปราสาทหินแบบขอมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน
และยังคงความงดงามอยู่จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
งานทบทวนวรรณกรรมด้านการท่องเที่ยว
(2562) เขียนโดย สำนักอุทยานแห่งชาติ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แหล่งเว็บไซต์นี้ชี้ให้เห็นว่า เขาพระวิหาร ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอน้ำยืน กิ่งอำเภอน้ำขุ่น
จังหวัดอุบลราชธานี และอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา
ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารทางด้านบริเวณผามออีแดง
ท้องที่ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จัดได้ว่าสะดวกที่ที่สุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาพระวิหาร ป่าฝั่งลำโดมใหญ่
ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี นครราชสีมา
ซึ่งได้ทำการตกลงกับกรมป่าไม้ กำหนดพื้นที่ป่าไม้ชายแดนให้เป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์
ห้ามเข้าไปและอาศัยอยู่โดยเด็ดขาด
เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มาก มีทัศนียภาพที่สวยงาม
ตลอดจนโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
และได้ขอให้กรมป่าไม้กำหนดและประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไป
ซึ่งผลจากการสำรวจเพื่อดำเนินการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติปรากฎว่า สภาพป่าของพื้นที่ป่าเป็นป่าเบญจพรรณ อยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าเขาพระวิหาร (ศก.7) ผ่านการทำไม้แล้ว กับอีกส่วนหนึ่งอยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ (อบ.2) มีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น จุดชมวิวผามออีแดง จุดชมวิวหน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอยสระตราว ถ้ำฤาษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซวี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ ปราสาทเขาพระวิหาร โบราณสถานสำคัญเก่าแก่ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ตกเป็นสมบัติของประเทศกัมพูชาแล้วโดยเด็ดขาดก็ตาม แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารนั้นอยู่ด้านพื้นที่ของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผ่านและอาศัยพื้นที่ทางขึ้นด้านบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษ จัดว่าสะดวกที่สุด เพราะฉะนั้นการที่ชาวไทยหรือชนชาติต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาหาความรู้และพักผ่อนหย่อนใจบนปราสาทเขาพระวิหาร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยดอยจังหวัดศรีสะเกษได้ประสานงานตกลงกับจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องการขอใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของสถานที่บริเวณส่วนบนปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้ร่วมกัน อุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหาร ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน ตำบลโคกสะอาด กิ่งอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และป่าเขาพระวิหารในท้องที่ตำบลเสาธงชัย ตำบลภูผาหมอก อำเภอกันทรลักษ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ ซึ่งผลจากการสำรวจเพื่อดำเนินการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติปรากฎว่า สภาพป่าของพื้นที่ป่าเป็นป่าเบญจพรรณ อยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าเขาพระวิหาร (ศก.7) ผ่านการทำไม้แล้ว กับอีกส่วนหนึ่งอยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ (อบ.2) มีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น จุดชมวิวผามออีแดง จุดชมวิวหน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอยสระตราว ถ้ำฤาษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซวี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ ปราสาทเขาพระวิหาร โบราณสถานสำคัญเก่าแก่ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ตกเป็นสมบัติของประเทศกัมพูชาแล้วโดยเด็ดขาดก็ตาม แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารนั้นอยู่ด้านพื้นที่ของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผ่านและอาศัยพื้นที่ทางขึ้นด้านบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษ จัดว่าสะดวกที่สุด เพราะฉะนั้นการที่ชาวไทยหรือชนชาติต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาหาความรู้และพักผ่อนหย่อนใจบนปราสาทเขาพระวิหาร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยดอยจังหวัดศรีสะเกษได้ประสานงานตกลงกับจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องการขอใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของสถานที่บริเวณส่วนบนปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้ร่วมกัน อุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหาร ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน ตำบลโคกสะอาด กิ่งอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และป่าเขาพระวิหารในท้องที่ตำบลเสาธงชัย ตำบลภูผาหมอก อำเภอกันทรลักษ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ จะเห็นได้ว่า เว็บไซต์นี้มีการอธิบายเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของปราสาทเขาพระวิหารพอสังเขป อีกทั้งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะป่าโดยรอบของพื้นที่เขาพระวิหารว่าเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าเบญจพรรณ นอกจากตัวปราสาทจะมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว บริเวณโดยรอบปราสาทยังมีจุดชมวิวที่สวยงาม ด้วยเหตุนี้ปราสาทเขาพระวิหารไม่เพียงเป็นจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งทัศนศึกษา แหล่งศึกษาเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ที่สามารถเป็นแหล่งข้อมูลให้กับนักวิจัย นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการศึกษาแหล่งโบราณสถานแห่งนี้
ซึ่งผลจากการสำรวจเพื่อดำเนินการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติปรากฎว่า สภาพป่าของพื้นที่ป่าเป็นป่าเบญจพรรณ อยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าเขาพระวิหาร (ศก.7) ผ่านการทำไม้แล้ว กับอีกส่วนหนึ่งอยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ (อบ.2) มีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น จุดชมวิวผามออีแดง จุดชมวิวหน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอยสระตราว ถ้ำฤาษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซวี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ ปราสาทเขาพระวิหาร โบราณสถานสำคัญเก่าแก่ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ตกเป็นสมบัติของประเทศกัมพูชาแล้วโดยเด็ดขาดก็ตาม แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารนั้นอยู่ด้านพื้นที่ของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผ่านและอาศัยพื้นที่ทางขึ้นด้านบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษ จัดว่าสะดวกที่สุด เพราะฉะนั้นการที่ชาวไทยหรือชนชาติต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาหาความรู้และพักผ่อนหย่อนใจบนปราสาทเขาพระวิหาร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยดอยจังหวัดศรีสะเกษได้ประสานงานตกลงกับจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องการขอใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของสถานที่บริเวณส่วนบนปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้ร่วมกัน อุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหาร ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน ตำบลโคกสะอาด กิ่งอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และป่าเขาพระวิหารในท้องที่ตำบลเสาธงชัย ตำบลภูผาหมอก อำเภอกันทรลักษ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ ซึ่งผลจากการสำรวจเพื่อดำเนินการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติปรากฎว่า สภาพป่าของพื้นที่ป่าเป็นป่าเบญจพรรณ อยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าเขาพระวิหาร (ศก.7) ผ่านการทำไม้แล้ว กับอีกส่วนหนึ่งอยู่ในป่าโครงการไม้กระยาเลยป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ (อบ.2) มีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น จุดชมวิวผามออีแดง จุดชมวิวหน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอยสระตราว ถ้ำฤาษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซวี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ ปราสาทเขาพระวิหาร โบราณสถานสำคัญเก่าแก่ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2505 ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ตกเป็นสมบัติของประเทศกัมพูชาแล้วโดยเด็ดขาดก็ตาม แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารนั้นอยู่ด้านพื้นที่ของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผ่านและอาศัยพื้นที่ทางขึ้นด้านบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษ จัดว่าสะดวกที่สุด เพราะฉะนั้นการที่ชาวไทยหรือชนชาติต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาหาความรู้และพักผ่อนหย่อนใจบนปราสาทเขาพระวิหาร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยดอยจังหวัดศรีสะเกษได้ประสานงานตกลงกับจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องการขอใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของสถานที่บริเวณส่วนบนปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้ร่วมกัน อุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหาร ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน ตำบลโคกสะอาด กิ่งอำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และป่าเขาพระวิหารในท้องที่ตำบลเสาธงชัย ตำบลภูผาหมอก อำเภอกันทรลักษ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ จะเห็นได้ว่า เว็บไซต์นี้มีการอธิบายเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของปราสาทเขาพระวิหารพอสังเขป อีกทั้งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะป่าโดยรอบของพื้นที่เขาพระวิหารว่าเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าเบญจพรรณ นอกจากตัวปราสาทจะมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว บริเวณโดยรอบปราสาทยังมีจุดชมวิวที่สวยงาม ด้วยเหตุนี้ปราสาทเขาพระวิหารไม่เพียงเป็นจุดท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งทัศนศึกษา แหล่งศึกษาเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ที่สามารถเป็นแหล่งข้อมูลให้กับนักวิจัย นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการศึกษาแหล่งโบราณสถานแห่งนี้
งานทบทวนวรรณกรรมด้านข้อพิพาท

หนังสือจากสำนักหอสมุดมหาวิทยาบัยขอนแก่น
(2554) เขียนโดย กองบรรณาธิการ ASTV : จากเรื่อง
ดื้อตาใสทำไทยเสียดินแดน หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนใช้ภาษาในการเขียนที่ค่อนข้างตรงและแรงเนื่องด้วย
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า
การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ถือเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บช้ำที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวใจของคนไทยที่รักชาติมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้เขียนอธิบายว่า
คำพิพากษาของศาลโลกครั้งนั้นเป็นเสมือนการปล้นแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยไปยกให้กับกัมพูชาอย่างหน้าด้านๆ
โดยเหตุที่ผู้เขียนกล่าวเช่นนั้น เป็นผลมาจากการที่คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือเส้นสันปันน้ำ
อย่างที่นานาอารยประเทศใช้เป็นสำคัญ
เพราะถ้าหากยึดสันปันน้ำเป็นหลักแล้ว ปราสาทพระวิหารย่อมตกเป็นของไทย
แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าอาณานิคมของฝรั่งเศสที่วางเอาไว้
ทำให้ไทยต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างไม่น่าเกิดขึ้น
งานทบทวนวรรณกรรมจากสื่อสารคดีที่ได้จากการรับชมวิดีทัศน์
(2558) เผยแพร่โดยช่อง Thai PBS : จากวีดีทัศน์เรื่อง ชาวบ้านศรีสะเกษวอนเปิดจุดผ่อนปรนทางขึ้นชมปราสาทพระวิหารฝั่งไทย
หวังกระตุ้นค้าขายกลับมาคึกคัก ได้ข้อมูลในเชิงการท่องเที่ยว
และการพัฒนาเศรษฐกิจว่า กัมพูชาอนุญาตให้คนไทยขึ้นไปเที่ยวชมปราสาทพระวิหาร
โดยถึงแม้ว่าคนไทยจะต้องไปขึ้นทางฝั่งกัมพูชา เหตุนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์
เพราะกว่า 6 ปีที่กัมพูชาไม่อนุญาตให้ชาวไทยขึ้นไปบนปราสาทพระวิหารจากกรณีพิพาทเรื่องเขตแดน
ทำให้ประชาชนชาวศรีสะเกษที่ทำการค้าบริเวณผามออีแดง อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
มองว่า หากมีการปิดประตูฝั่งทางขึ้นไปเขาพระวิหารบริเวณฝั่งไทย
การค้าเศรษฐกิจบริเวณนี้จะต้องซบเซา ไม่มีรายได้เพิ่ม เพราะในอดีต
พวกเขาเหล่านี้มีรายได้จากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทั้งไทยและกัมพูชาสามารถเดินทางไปมาหาสู่
ทำการค้าระหว่างบริเวณพรมแดนกันได้ แต่เมื่อมีการปิดประตูทางเข้า
ไม่ให้ไทยเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร จำนวนนักท่องเที่ยวก็ลดลง
จึงทำให้ประชาชนบริเวณนั้นเดือดร้อน จึงอยากให้มีการเปิดประตูทางขึ้นพระวิหารฝั่งไทยเพื่อให้การท่องเที่ยวและการค้าขายชายแดนกลับมาคึกคักอีกครั้ง

สุดท้ายนี้จากการทบทวนวรรณกรรมเรื่อง ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งได้ทำการค้นคว้าทั้งหมดจาก
16 แหล่งข้อมูลโดยแบ่งเป็นประเด็น 5 ประเด็นนั่นคือ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านสถาปัตยกรรม
ด้านการท่องเที่ยว ด้านกรณีข้อพิพาท และสารคดีจากการรับชมวิดิทัศน์
ซึ่งจากการศึกษาประเด็นที่ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษคือด้านข้อพาท
เนื่องจากปราสาทเขาพระวิหารเป็นปราสาทที่หลายๆประเทศให้ความสนใจ
และเป็นปัญหาระดับโลกที่มีหลายๆฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
จึงทำให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หลายๆคนให้ความสนใจและนิยมทำการศึกษาเพื่อพยายามทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างความขัดแย้งของไทยและกัมพูชา
โดยจากการทบทวนวรรณกรรม แสดงให้เห็นว่า ปราสาทพระวิหารนอกจากจะเป็นปราสาทที่สวยงาม
มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ยังเป็นปราสาทที่ทิ้งร่องลอยบาดแผลของการต่อสู้ภายในใจของคนไทย
เนื่องจากดินแดนนี้เคยเป็นของไทยมาก่อน
แต่ต้องมาเสียให้กับกัมพูชาด้วยการพิจารณาที่ไทยมองว่า ไม่โปร่งใส
เหตุการณ์ต่างๆในอดีตที่ผ่านมา ไทยเองไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้
และในอดีตไทยเองก็ไม่ได้โต้แย้งรึมีการแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดนที่ทำกับฝรั่งเศส
ทำให้เท่ากับว่า ไทยยอมรับข้อตกลงทุกอย่าง
เหตุนี้เองที่ทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่สามารถต่อสู้ในชั้นศาลได้ จนกลายมาเป็นปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาในที่สุด
แหล่งอ้างอิง
ดร.ธิดา สาระยา.
ปราสาทเขาพระวิหาร.
พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทราการพิมพ์ , 2552
โรม บุนนาค. เขาพระวิหารไทยเสียดินแดนครั้งสุดท้าย. พิมพ์ครั้งที่ 1. สำนักพิมพ์สยามบันทึก : บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย , 2551
กองบรรณาธิการ ASTV. ดื้อตาใสทำไทยเสียดินแดน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : บริษัทกันต์รพี
กรุ๊ป จำกัด , 2554
Thai PBS. (2558). ชาวบ้านศรีสะเกษวอนเปิดจุดผ่อนปรนทางขึ้นชมปราสาทพระวิหารฝั่งไทย
หวังกระตุ้นค้าขายกลับมาคึกคัก. สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=JX8zIJP6P5Y. (ออนไลน์). วันที่ 13 พ.ย. 2562